Monday, June 12, 2017

รูปแบบองค์กรทางการศึกษาพื่อสนุบสนุนโรงเรียน

จะเห็นได้ว่ามีภาคส่วนทั้งเอกชน รัฐบาล ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก ในลักษณะ CSR(Corporate Social Responsibility):ซึ่งเป็นกิจกรรมส่งเสริมความการริการแก่หน่วยงานต่างๆซึ่งมักพบเห็นในโรงเรียนที่ประสบปัญหา โดยเข้ามาช่วยเหลือระบบการศึกษาในโรงเรียนค่อนเยอะขึ้นและแนวโน้มน่าจะมีมากขึ้นไปเรื่อยๆ โดยมีวัตุประสงค์ที่หลากหลายและมองในด้านดีก็จะทำให้นักเรียนน่าจะได้เห็นอะไรที่หลากหลายและมีประโยชน์

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในไม่ช้านี้นั่นก็คือการที่มีองค์กรต่างๆเข้ามาช่วยเหลือซึ่งมีความสามารถที่เฉพาะทางในศาสตร์แห่งความรู้และทักษะที่หลากหลาย อีกทั้งนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆที่สนับสนุนการเรียนที่ทันสมัยเหมาะกับผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 จะทำให้โรงเรียนเกิดกระบวนการ Outsource ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางซึ่งก็ดีอีกอยู่เหมือนเดิมกับผู้เรียนและโรงเรียน


แต่ผู้ที่อาจจะได้รับแรงกระทบที่จะตามมาอีกมุมหนึ่งคือ ครูในโรงเรียน แน่นอนว่าคงยังต้องมีต่อไป ไม่ใช่ไม่จำเป็นจะต้องมีครูต่อเพราะครูยังต้องดูแลเด็กนอกเหนือวิชาการเช่น การดูพฤติกรรม ความเป็นพระคุณที่สามยังคงอยู่แต่วิชาการอาจจะให้ Partner ที่เป็นองค์กรภายนอกมาช่วย ทำให้บทบาท Content ในทางวิชาการอาจลดลง อาจส่งผลให้จำนวนครูลดลงในอนาคต

ฉะนั้นครูจะทำอย่างไรละเป็น คำถามที่ครูจะต้องมาคิดหาวิธีทำงานในรูปแบบนี้ ถ้ามองผิวเผินก็ครูมีงานดูแลเด็กตลอดเวลาให้คำปรึกษา การดูแลเด็กนักเรียนนหนึ่งวันทั้งเทอมทั้งปีไม่ใช่เรื่องง่าย มีเวลาสร้างกิจกรรมต่างๆ มีเวลาวิจัยและค้นคว้าหาความรู้เทคนิคการสอนใหม่ ศึกษาค้นคว้าความรู้สาขาตนเอกให้ลึกขึ้น บูรณาการกับศาสตร์อื่นประยุกต์ให้สร้างสรรค์มากึ้น มีเวลาจัดระบนเอกสารต่างๆ มีเวลาฝึกใช้เทคโนโลยีสนับสนุนการศึกษา การติดต่อประสานงานกับองค์กร บุคลากรภายนอกดังนั้น ครูจะต้องพลิกวิกฤตเป็นโอกาสพัฒนาทักษะและความรู้ข้างต้นเพื่อให้ทันกับกระแสที่จะเกิดขึ้นใหม่ในไม่ช้านี้

โดย อาจารย์ ดร.ธีรศักดิ์ สร้อยคีรี

No comments: